ตะคริว ในทรรศนะของแพทย์แผนไทย

1. ในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ท่านกล่าวถึง ตะคริว ไว้ในตอนที่อธิบาย เรื่อง ธาตุลมพิการ (วาโยพิการ) จะยกถ้อยคำมาให้เห็นกันเลยทีเดียว ว่า "วาโยพิการเล่า เมื่อท้องเปล่าอาเจียรหนา บางคาบอิ่มเข้าปลา จึ่งอาเจียรคลื่นเหียนไป ท้องนั้นคลอนลมอยู่ พิเคราะห์ดูโทษนี้ไซร้ วาโยพิการให้ ท่านกล่าวไว้เปนสำคัญ วาโยออกจากตน เกิดวิกลสองหูนั้น ให้หนักแลตึงครัน หิ่งห้อยนั้นออกจากตา ให้เมื่อยสองหัวเข่า จะเปนเล่าตะคริวหนา จับโปงโป่งขึ้นมา เจ็บขัดทรวงเสียวปวดไป มักแปรเปนผีเอ็น ร้อนแลเย็นกระบัดให้ สันหลังเมื่อยขบไป วาโยไซร้ ออกจากกาย วาโยเมื่อแตกเล่า หายใจเข้าน้อยไปหาย ใจออกมากระบาย ห่อนรู้จักสมปฤดี กลางคืนแลกลางวัน จักษุนั้น มืดมึนสี โทษสองประการนี้ ยังสองวันจะมรณา"
อาการของตะคริวในบทร้อยกรองข้างต้นนี้ เกิดจากผลของธาตุลมพิการ ที่เมื่อเป็นมากๆ ก็จะเกิดตะคริวและจับโปง (มีอาการปวดเมื่อยตามข้อและกระดูก) และร้ายแรงถึงสิ้นชีวิตได้ภายในระยะเวลา 2 วัน
2. ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ ก็มีข้อความ เหมือนกับ ข้อ 1. แต่อธิบายเป็นร้อยแก้ว ความว่า "ลักษณะวาโยธาตุพิการนั้น คือ ให้หูตึงเปนน้ำหนวกไหลเหม็นเน่า แลให้ตาฟาง เมื่อเอามือกดที่หัวตาไม่มีแสง ให้เมื่อยมือ เมื่อยเท้า แลขาทั้งสองข้างดังผู้ใหญ่ ให้เปนตะคริวแลจะโปง ให้เมื่อยกระดูกสันหลัง แลฟกขึ้น ไม่รู้ก็ว่าเปนผีเอ็น ให้อาเจียร บางทีก็ให้อาเจียรลมเปล่า เมื่อยังมิได้บริโภคอาหารสิ่งใดๆ มักให้เปนลมท้องขึ้น ให้จุกให้รากให้เปนต่างๆ ทั้งนี้ ก็เพราะ วาโยธาตุพิการดุจกล่าวมานี้"
3. ในพระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ นอกจากจะบอกอาการของโรค "วาโยธาตุ" ที่ทำให้เกิดเป็นตะคริวแล้ว ก็ยังได้บอกตำรับยาสำหรับรักษาโรคไว้ด้วย ท่านว่า "หนึ่งแก้วาโยธาตุ กำเริบหย่อนทั้งปวงคลาย อาการวิกลกาย กระทำโทษสิบสามเพลง เปนตะคริวเมื่อยตีนมือ หูอึงอื้อตึงหนักเอง สันหลังย่อมขัดเคร่ง รากลมเปล่าแลเจ็บอก ให้ขัดซึ่งหัวเข่า เปนปุ่มเปาจะโป่งฟก หายใจย่อมขัดอก เปนหวัดไอให้หอบหืด ตาพรายวิงเวียนหน้า โทษเพราะว่า วาโยผืด แพทย์เห็นอย่าจางจืด จงประกอบให้ชอบยา ดีปลีแลแฝกหอม ทั้งว่านน้ำพริกไทยมา แห้วหมูว่านเปราะหา เอาเท่ากันทำเปนผง ลายด้วยน้ำมะนาว วาโยธาตุเสื่อมหายลง ผู้ใช้จะกินจง อย่าดูหมิ่นดังกล่าวมา
การเป็นตะคริวนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจจะเกิดขึ้นแล้วก็หายไป หรืออาจจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในบางห้วงเวลา ข้อที่ควรจดจำไว้คือ ขณะที่เป็นตะคริวนั้น ไม่ควรใช้มือบีบเคล้นบริเวณที่เป็น เพราะอาจจะไปทำให้กล้ามเนื้อต้องบอบช้ำยิ่งขึ้น หรือฉีกขาดได้ ควรจะปล่อยให้กล้ามเนื้อคลายตัวด้วยตัวของมันเอง ด้วยการอยู่นิ่งๆ ตามสบาย เมื่อหายแล้ว ผู้เป็นตะคริวก็จะกลับมีร่างกายที่เป็นปกติทุกอย่าง
ภายหลังการคลายตัวแล้ว อาจจะใช้มือบีบนวดบริเวณที่เป็นได้เบาๆ แต่หากทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ก็ให้แก้ไขไปตามสาเหตุ เช่น ดื่มนมให้มากขึ้น, ดื่มน้ำเกลือ (โซเดียม) ให้มากขึ้น กรณีที่เสียเกลือจากอาการท้องเดิน หรือเสียเหงื่อมาก แต่หากเป็นบ่อยๆ โดยไม่พบสาเหตุก็ขอให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมต่อไป
– ตะคริวน่อง
o สาเหตุ ร่างกายขาดน้ำ ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง นั่งหรือยืนในท่าที่เลือดไหลเวียนไม่สะดวก อาการเกร็งของกล้ามเนื้อลาย ภาวะเครียดจากระบบสมอง ในคนสูงอายุที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
อาการ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแข็งเป็นก้อน ปลายเท้าชี้ลง ขยับขาไม่ได้ กระดกขาขึ้นเองไม่ได้
การรักษา 1)นวดพื้นฐานขา เปิดประตูลม 2)นวดพื้นฐานและนวดสัญญาณ 1-5 ขาด้านนอก 3)นวดพื้นฐานและนวดสัญญาณ 1-5 ขาด้านใน 4)นวดเส้นกึ่งกลางน่อง
o หลักการนวด ยืดคลายกล้ามเนื้อน่องโดยการกระดกข้อเท้า นวดพื้นฐานขาเปิดประตูลม นวดขาด้านนอก นวดพื้นฐานขาด้านใน นวดแนวเส้นท้องขาท่อนล่าง
o ข้อควรปฏิบัติ ประคบน้ำร้อน บริหารโดยการกระดกปลายเท้า
o ข้อห้ามและข้อควรระวัง ไม่ให้สัมผัสอากาศเย็น ไม่ควรยืนหรือเดินนานเกินไป
ยาแก้วาโยธาตุในพระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ ท่านให้ใช้ ดีปลี, แฝกหอม, ว่านน้ำ, พริกไทย, แห้วหมู, ว่านเปราะ อย่างละเท่าๆ กัน บดเป็นผง ลายด้วยน้ำมะนาว ใช้กินแก้โรคธาตุเสื่อม อันเป็นสาเหตุของอาการเป็นตะคริวด้วย
ที่ยกมานี้เป็นตำราหลักด้านแพทย์แผนไทย นอกจากนี้ ก็ยังมียาจากตำรายากลางบ้านที่ใช้รับประทานหรือทาแก้ตะคริวที่น่าสนใจอีก จะขอยกมาไว้เพื่อลองพิจารณากันดู ดังนี้
1. น้ำเกลือดื่มแก้ตะคริว ให้เอาเกลือทะเล 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำต้มสุกครึ่งขวดแม่โขง ดื่มให้หมด แก้ตะคริวได้ หรือใช้ดื่มประจำก่อนนอน ท่านว่าหายแลฯ
2. ยาทาแก้ตะคริว
(1) ให้เอาเปลือกมะรุม, ผิวมะกรูด, การบูร อย่างละเท่าๆ กัน นำมาโขลก แล้วละลายกับน้ำผสมน้ำสุรา ใช้ทามือ ทาขา และทากลางหลัง (เข้าใจว่าท่านคงจะให้ทาบริเวณที่เป็นตะคริว) ตะคริวหาย ทั้งนี้ ควรผสมยากับน้ำสุราค้างคืนไว้สัก 1 คืน แล้วจึงนำมาทา จะดียิ่งขึ้น
(2) ให้เอาผักเป็ด, ใบมะขาม, ใบส้มป่อย อย่างละเท่าๆ กัน นำมาตำให้แหลก คลุกยากับน้ำมันหมู แล้วนำยาไปปิ้งไฟ บีบเอาแต่น้ำยามาทาตะคริว ท่านว่าหายฯ
(3) ให้เอาขี้เถ้ากลางเตาไฟมาผสมกับน้ำมันก๊าด ใช้ทาบริเวณที่เป็นตะคริว ได้ผลดีชะงัดนักแลฯ หรือจะใช้น้ำมันก๊าดเปล่าๆ ทาก็ได้ ท่านว่าหายเหมือนกันแลฯ
สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆ มีเคล็ดลับวิธีแก้อาการตะคริวแบบง่ายๆ มาบอก.
.. เริ่มจากการเป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้าและใช้มืออีกข้าง ดันปลายเท้าขึ้นลงให้เต็มที่อย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วหาครีมหรือน้ำมันมานวดซ้ำอีกที เพื่อกระตุ้นให้เลือดตรงบริเวณนั้นไหลเวียน หากเป็นตะคริวที่ต้นขา ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง แล้วใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้า ส่วนอีกข้างกดลงบนหัวเข่า จากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณที่เป็นตะคริว หรือเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า ให้เหยียดนิ้วเท้าให้ตรง และลุกขึ้นยืนเข่ยงเท้า จากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณนิ้วเท้าอย่างเบามือ
สุดท้าย ตะคริวที่นิ้วมือ ให้เหยียดนิ้วมือออก แล้วนวดเบาๆ บริเวณนิ้วมือที่เป็น แนะว่าคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อยทอดผักคะน้า ผักหวาน กระถิน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ลูกพรุน งาดำ และ เต้าหู้ เป็นต้น
เรื่องราวของโรคตะคริว และวิธีการรักษา แนวทางแพทย์แผนไทยก็คงจะมีแต่เพียงแค่นี้ ท่านที่มักจะเป็นตะคริวก็ลองนำเอาไปปรับใช้ดูตามความเหมาะสมนะค่ะ
ที่มา ข้อความบางตอน เดลินิวส์ออนไลน์
อ้างอิง หนังสือแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์
Writer: นันทวดี น้อยนิติ